บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL รายงานผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2568 ที่น่าพอใจ กำไรหลักเติบโตสูง 23.91% เป็น 394.73 ล้านบาท โดยทั้งอัตรากำไร ขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิขยายตัวสูง จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสีเขียว พร้อมประกาศปันผล เฉพาะกาล ให้ยิลด์สูงถึง 5% พร้อมเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ใหม่ ‘พาร์ตเนอร์ด้านพลังงานสีเขียว และโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจรใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทย’

คุณนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานปี 1/2568 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2568 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้กำไรจากการดำเนินงานหลักเติบโตสูง 23.91% เป็น 394.73 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปีก่อนที่ 318.57 ล้านบาท โดยในงวดนี้ บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น 30.48% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 2.38 และมีอัตรากำไรสุทธิ 17.54% ขยายตัวขึ้นจากงวดเดียวกันกับปีก่อนถึงร้อยละ 6.21 โดยมีสาเหตุหลักจาก 1) การดำเนินธุรกิจหลักที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายจากพลังงานสะอาด ทั้งโครงการพลังงานลมซึ่งสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 57% เมื่อเทียบกันช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน รวมถึงรายได้จากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาที่ทำสัญญากับลูกค้าภาคเอกชน (Private PPA) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ และ 2) การบริหารต้นทุนโครงการและค่าจ่ายในการดำเนินงานที่ดีขึ้นทำให้แม้รายได้รวม 2,096.62 ล้านบาทในไตรมาสนี้อาจไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากมูลค่างานที่รอรับรู้ส่วนใหญ่ มีกำหนดส่งมอบในครึ่งปีหลัง แต่ด้วยการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในไตรมาสแรกเติบโตสูงตามที่คาดการณ์ไว้โดยบริษัทฯ แทบไม่ได้ผลกระทบจากนโยบายการปรับลดค่าไฟแปรผัน (Ft) แต่อย่างใด

“ ผลกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ มาจากโมเดลธุรกิจพลังงานสีเขียวครบวงจรที่แข็งแกร่งทั้ง 3 ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงานสะอาดซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มีกำไรขั้นต้นที่สูง ทำให้เมื่อรวมกำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามประเภทธุรกิจ (Gross profit & profit sharing by business) ของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ มาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงานสะอาด 77% มาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ 11% และมาจากธุรกิจก่อสร้างและให้บริการ 11% เท่ากัน และเพื่อสร้างการตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่ดีอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของบริษัทฯ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนแรกของปี 2568 เป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 5% เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวานนี้ โดยจะปิดสมุดทะเบียนและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 13 มิถุนายน 2568” คุณนฤชล กล่าว

ปัจจุบัน GUNKUL มีโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียวในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด 1,479 เมกะวัตต์ โดย 832 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการรอรับรู้รายได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีมูลค่างานรอรับรู้รายได้ (backlog) จากธุรกิจรับเหมาไฟฟ้า (EPC) และธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า (Manufacturing) กว่า 3,500 ล้านบาท ทีเตรียมรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในครึ่งหลังปีนี้ ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทฯได้วางแผนขยายธุรกิจรับเหมาไฟฟ้า โดยขยายเข้าสู่ตลาดไฟฟ้าแรงดันสูง 115 kV - 500 kV ซึ่งใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสูง มีคู่แข่งในตลาดน้อยราย และเตรียมต่อยอดธุรกิจสู่ธุรกิจการวางสายส่งระบบสื่อสาร ซึ่งเป็นการต่อยอดจากธุรกิจสายส่งพลังงานไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญมากว่า 13 ปี ยิ่งกว่านั้น บริษัทฯ มีแผนที่จะสร้างการเติบโตให้ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยการรุกตลาดกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าในระดับแรงดันกลางจนถึงแรงดันสูง และกำลังเข้าประมูลโครงการของทั้งภาครัฐและเอกชนในปีนี้ เพื่อรองรับการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด ซึ่งเชื่อมั่นว่าแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯ สร้างการเติบโตทั้งในด้านรายได้อย่างมั่นคง และเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรที่ดีเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น เนื่องจากรูปแบบธุรกิจที่ครบวงจร บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ในทุกช่วงของห่วงโซ่ธุรกิจโรงไฟฟ้า คือ ช่วงที่โครงการกำลังพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้า บริษัทฯ สามารถเก็บเกี่ยวรายได้จากธุรกิจขายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า และจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และเมื่อโรงไฟฟ้าของบริษัทเปิดดำเนินงาน บริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในระยะยาว

อนึ่ง GUNKUL มีเป้าหมายการเติบโตในช่วง 3 ปี (2568-2570) ไม่ต่ำกว่า 10-15% และขยายพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งในไทยและต่างประเทศทั้งหมดเป็น 2,000 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปี โดยในการประมูลโรงไฟฟ้ารอบล่าสุด บริษัทฯ ได้ผ่านคุณสมบัติ และได้รับการคัดเลือกเพิ่มขึ้นอีกกว่า 319 เมกะวัตต์ ทั้งโครงการพลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพิ่มเติม นอกจากนี้บริษัทฯ เตรียมต่อยอดธุรกิจแบตเตอรี่ ทั้งในระดับเชิงพาณิชย์และระดับโครงข่าย ธุรกิจซื้อขายไฟตรง (Direct PPA) และศึกษาโอกาสในการทำธุรกิจ พลังงานสีเขียวใหม่ๆ เช่น SMR, Green hydrogen เป็นต้น ในส่วนด้านงบ การลงทุน บริษัทฯ มีแผนจะใช้เงินลงทุนในส่วนทุนไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี ในธุรกิจโรงไฟฟ้าสีเขียวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ยังอยู่ในระดับต่ำ พร้อมรองรับการเติบโตในทุกด้านเพื่อสร้างรายได้และผลกำไรให้บริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ